
พร้อมสำหรับอนาคต: เทคโนโลยีและความคล่องตัวช่วยเสริมสร้างความยืดหยุ่นให้กับธุรกิจได้อย่างไร
ในโลกที่รายล้อมด้วยการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง ความคล่องตัวคือกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จทางธุรกิจ ในการปรับตัวและเติบโตในสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลานั้น ธุรกิจต้องเตรียมพร้อมสำหรับอนาคตและมุ่งเน้นที่ลูกค้า
ในการแข่งขัน FedEx Asia Pacific Small Business Grant Contest (SBGC) ประจำปี 2568 ซึ่งจัดขึ้นควบคู่กับฟอรัม Forbes Asia 100 to Watch คาวาล พรีต ประธานภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกของ FedEx ได้เน้นย้ำถึงสิ่งสำคัญเชิงกลยุทธ์ 3 ข้อสำหรับธุรกิจขนาดเล็กที่ต้องปรับตัวในสภาพแวดล้อมเช่นนี้ ข้อแรก การสร้างความคล่องตัวเชิงกลยุทธ์ผ่านเทคโนโลยี โดยการใช้ประโยชน์จากข้อมูลและเครื่องมือดิจิทัล ช่วยให้ตัดสินใจได้อย่างรวดเร็วและชาญฉลาดยิ่งขึ้น ข้อที่สอง การปรับตัวให้เข้ากับรูปแบบการค้าที่เปลี่ยนแปลงถือเป็นสิ่งสำคัญ โดยเฉพาะในตลาดที่มีพลวัตสูงอย่างเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งการตอบสนองต่อโอกาสใหม่ๆ และการเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบนับว่าเป็นสิ่งสำคัญ ข้อที่สาม การเป็นพันธมิตรเพื่อการเติบโตสามารถช่วยลดความซับซ้อน ขยายการเข้าถึงทั่วโลก และช่วยให้ธุรกิจมุ่งเน้นไปที่จุดแข็งหลักของตนเอง
FedEx ยังคงมุ่งมั่นที่จะสนับสนุนธุรกิจขนาดเล็กที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลกและยกระดับชุมชน FedEx สนับสนุนเส้นทางไปสู่การเติบโตอย่างยั่งยืนได้ด้วยการมอบทรัพยากร การยอมรับ และการเข้าถึงที่จำเป็น
ผู้เข้ารอบ 4 คนสุดท้ายของ การแข่งขัน FedEx Asia Pacific Small Business Grant Contest (SBGC) ประจำปี 2568 เน้นย้ำอีกครั้งว่าการเปลี่ยนแปลงที่สร้างแรงกระเพื่อมนั้นไม่ได้สงวนไว้สำหรับองค์กรขนาดใหญ่เท่านั้น บริษัทสตาร์ทอัพผู้บุกเบิกเหล่านี้กำลังใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีเพื่อส่งเสริมการเติบโตและนวัตกรรมในภูมิภาคและที่อื่นๆ
1. อินเดีย – Digantara: ให้ข้อมูลเชิงลึกที่แม่นยำแบบเรียลไทม์เกี่ยวกับวงโคจรเพื่อช่วยให้ยานอวกาศทำงานได้อย่างปลอดภัยยิ่งขึ้น
Digantara สตาร์ทอัพด้านเทคโนโลยีอวกาศ ก่อตั้งขึ้นในปี 2561 เพื่อช่วยให้หน่วยงานพาณิชย์และหน่วยงานของรัฐสามารถใช้งานดาวเทียมได้อย่างปลอดภัยและจัดการการจราจรในอวกาศที่เพิ่มสูงขึ้น โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างแคตตาล็อกข้อมูลการรับรู้ถึงสถานการณ์ในอวกาศที่ใหญ่ที่สุด
อนิรุธ ชาร์มา CEO ของ Digantara กล่าวว่า "เราตระหนักดีว่าเศษชิ้นส่วนเป็นปัญหาใหญ่ในอวกาศ" บริษัทเพิ่งเปิดตัวดาวเทียมสำรวจอวกาศที่ออกแบบมาเพื่อติดตามและตรวจสอบวัตถุที่มีขนาดเล็กถึง 5 ซม. ในวงโคจรของโลก ความสามารถนี้ช่วยลดความเสี่ยงจากการชนและส่งเสริมการดำเนินงานในอวกาศอย่างยั่งยืน โดยการให้ข้อมูลที่ถูกต้องและเชื่อถือได้แก่ผู้ให้บริการดาวเทียมและหน่วยงานกำกับดูแล
ปัจจุบันนี้ บริษัทมุ่งเน้นการสร้างโซลูชันสำหรับหน่วยงานด้านการป้องกันของรัฐและหน่วยงานพาณิชย์ เช่น บริษัทประกันภัย “สิ่งที่เราทำในปัจจุบันนี้เป็นมากกว่าการรับรู้ถึงสถานการณ์ในอวกาศ และมากกว่าการติดตามวัตถุในอวกาศ” ชาร์มากล่าว “พวกเราทำงานในทุกด้านที่เกี่ยวข้องกับข่าวกรองและการเฝ้าระวัง ตัวอย่างเช่น การเตือนภัยขีปนาวุธเป็นอีกหนึ่งประเด็นสำคัญที่พวกเรากำลังให้ความสำคัญอยู่ในขณะนี้”
เมื่อการระดมทุนรอบ Series B ใกล้จะเริ่มต้น Digantara ตั้งเป้าที่จะขยายขีดความสามารถด้านการป้องกันไปทั่วโลก
2. สิงคโปร์ – Aliena: สร้างเครื่องยนต์ขับเคลื่อนขนาดกะทัดรัดเพื่อให้พลังงานแก่ดาวเทียม
Aliena สร้างเครื่องยนต์ขับเคลื่อนไฟฟ้าที่ช่วยให้ดาวเทียมสามารถทำงานที่ระดับความสูงต่ำกว่าเดิมได้ โดยส่งมอบข้อมูลที่มีความสำคัญสูงไปยังอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น การเงิน การเดินเรือ การบิน การเกษตร พลังงาน การรักษาความปลอดภัย และการป้องกัน ในปี 2563 บริษัท Aliena ได้ว่าจ้างและสร้างอาคารสถานที่ทดสอบแรงขับเครื่องบินเจ็ทของตนเองในสิงคโปร์เพื่อขยายขนาดการพัฒนาระบบของบริษัท
“เครื่องยนต์ของเราช่วยให้ดาวเทียมเคลื่อนที่ ปรับทิศทาง ค้นหาตำแหน่งในอวกาศ และรักษาตำแหน่งในวงโคจร” มาร์ค ลิม CEO ของ Aliena กล่าว “เราเป็นหนึ่งในไม่กี่คนในโลกที่สร้างระบบที่มีขนาดกะทัดรัดและมีประสิทธิภาพเช่นนี้ ซึ่งไม่เพียงแค่ประหยัดพลังงาน แต่ยังประหยัดเชื้อเพลิงด้วย และเราพร้อมที่จะนำไปใช้งานได้ทุกที่” เขากล่าว พร้อมเสริมว่า Aliena นำเสนอทั้งระยะเวลารอคอยสินค้าที่ไว้วางใจได้และความสามารถในการแข่งขันด้านต้นทุน เนื่องจากเรามีซัพพลายเชนที่แข็งแกร่งในสิงคโปร์
บริษัทสตาร์ทอัพรายนี้อ้างว่าประสบความสำเร็จในการระดมทุนมูลค่า 6.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ได้เปิดตัว 2 ระบบสู่อวกาศ และได้ลูกค้าจากสหราชอาณาจักร สเปน เบลเยียม สิงคโปร์ ไต้หวัน และตะวันออกกลาง บริษัทมีเป้าหมายที่จะระดมทุนอีกครั้งเพื่อขยายสายผลิตภัณฑ์และเพิ่มตัวตนของบริษัทในตลาดในสหรัฐอเมริกาและสหภาพยุโรป
3. สิงคโปร์ – NEU Battery Materials: การรีไซเคิลแบตเตอรี่ลิเธียมโดยสามารถสร้างผลกำไรและมีความยั่งยืน
NEU Battery Materials ก่อตั้งขึ้นในปี 2564 เป็นผู้รีไซเคิลลิเธียมเกรดการผลิตจากขยะแบตเตอรี่โดยอาศัยเทคโนโลยีรีดอกซ์เคมีไฟฟ้าที่จดสิทธิบัตรแล้ว ตามที่บริษัทกล่าว เทคโนโลยีรีไซเคิลนี้ใช้เพียงน้ำและไฟฟ้าเท่านั้น สร้างมลพิษน้อยลง 100 เท่า และสร้างผลกำไรมากกว่าวิธีการอื่นๆ ถึง 10 เท่า
“เราทำการรีไซเคิลแบตเตอรี่ประเภทเดียวที่เรียกว่า ลิเธียมไอรอนฟอสเฟต ซึ่งพบได้ทั่วไปในยานยนต์ไฟฟ้า” ไบรอัน โอห์ CEO ของ NEU Battery Materials กล่าว แบตเตอรี่ประเภทนี้มักจะไม่นำไปรีไซเคิลเนื่องจากมีต้นทุนสูง แต่ “เราสามารถทำได้โดยมีผลกำไร และที่สำคัญที่สุดคือมีความยั่งยืนด้วย” โอห์กล่าวเสริม
ในปี 2566 บริษัทได้ระดมทุนเริ่มต้นจำนวน 3.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐจาก SGInnovate, ComfortDelGro Ventures และ Shift4Good ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลสิงคโปร์ และจากที่อื่นๆ โรงงานรีไซเคิลกึ่งเชิงพาณิชย์ของบริษัทในสิงคโปร์ตอนนี้รีไซเคิลแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าได้ประมาณ 2,000 ก้อนต่อปี ธุรกิจนี้มีเป้าหมายที่จะทำกำไรในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า และมีแผนที่จะสร้างอาคารสถานที่เชิงพาณิชย์แห่งแรกในระดับโลกในอีก 5 ปีข้างหน้า
4. อินโดนีเซีย – McEasy: ทำให้การดำเนินงานด้านโลจิสติกส์ที่ซับซ้อนง่ายขึ้นด้วยเทคโนโลยี
McEasy ก่อตั้งขึ้นในปี 2560 โดยเป็นองค์กรด้าน Internet of Things (IoT) และ Software-as-a-Service (SaaS) ที่ช่วยให้บริษัทต่างๆ สามารถเฝ้าติดตามกองยานพาหนะขนส่งของตนเองโดยใช้ซอฟต์แวร์และเครื่องมืออื่นๆ เช่น กล้อง AI, GPS และเซ็นเซอร์ ธุรกิจ B2B นี้มุ่งมั่นที่จะสร้างระบบนิเวศโลจิสติกส์ที่ปลอดภัยยิ่งขึ้น ฉลาดมากกว่า และมีประสิทธิภาพมากขึ้นในอินโดนีเซีย
McEasy ได้ช่วยลูกค้าเพิ่มอัตราการใช้กองยานพาหนะของตนเองขึ้น 60% ลดต้นทุนเชื้อเพลิงลง 10-15% และลดการขับขี่โดยประมาทเนื่องจากความอ่อนล้าของพนักงานขับรถลงได้มากกว่า 60% ตามที่เรย์มอนด์ ซัตจิโอโน CEO กล่าว “บริษัทได้ให้บริการลูกค้ามากกว่า 2,000 ราย ครอบคลุมกองยานพาหนะที่ใช้งานอยู่กว่า 40,000 คันในอินโดนีเซีย” ซัตจิโอโนกล่าว
ในเดือนมิถุนายน 2024 McEasy ได้ระดมทุน Series A+ นำโดย Granite Asia หลังจากที่ได้ระดมทุนรอบ Series A ไปแล้ว 6.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2022 ส่งผลให้ยอดรวมเงินทุน Series A เป็น 11 ล้านดอลลาร์สหรัฐ



คาวาล พรีต ประธานภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกของ FedEx (คนกลาง) พร้อมด้วย (ซ้ายไปขวา) เรย์มอนด์ ซัตจิโอโน CEO ของ McEasy, ไบรอัน โอห์ CEO ของ NEU Battery Materials, อนิรุธ ชาร์มา CEO ของ Digantara และมาร์ค ลิม CEO ของ Aliena
ในปีนี้ Digantara ได้รับรางวัลใหญ่ในฐานะผู้ชนะ โดยได้รับเงินรางวัล 30,000 ดอลลาร์สหรัฐ ผู้เข้ารอบสุดท้ายอีก 3 คนได้รับเงินรางวัลคนละ 13,000 ดอลลาร์สหรัฐ
“ผู้ชนะในปีนี้แสดงให้เห็นว่าผู้ประกอบการที่อาศัยเทคโนโลยีกำลังนำเสนอโซลูชันที่ใช้งานได้จริง ตั้งแต่การรีไซเคิลแบตเตอรี่และการติดตามคาร์บอนไปจนถึงการขับเคลื่อนดาวเทียมและความปลอดภัยในอวกาศ” พรีตกล่าว “แนวคิดที่กล้าหาญของพวกเขาไม่เพียงแต่รับมือกับความท้าทายในปัจจุบันเท่านั้น แต่ยังสร้างอนาคตที่เชื่อมต่อถึงกันและมีความยืดหยุ่นมากขึ้นอีกด้วย “ที่ FedEx เรากำลังก้าวไปควบคู่กับเจตนารมณ์นี้ โดยใช้ประโยชน์จากข้อมูลและเทคโนโลยีเพื่อสร้างเครือข่ายที่ยืดหยุ่น มีประสิทธิภาพ และชาญฉลาดมากขึ้น ซึ่งช่วยให้ลูกค้าของเราสามารถปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลง คว้าโอกาสใหม่ๆ และเติบโตด้วยความมั่นใจในโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว”
บทความนี้เผยแพร่ครั้งแรกบน Forbes.com เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2568