
ภาษีศุลกากรคืออะไรและทำงานอย่างไร
ภาษีศุลกากรคือภาษีหรืออากรศุลกากรที่รัฐบาลเรียกเก็บสำหรับสินค้าที่นำเข้าหรือส่งออก
อัตราภาษีศุลกากรอาจส่งผลต่อต้นทุนสินค้า แหล่งที่มาของสินค้า และกระบวนการขนส่งข้ามพรมแดน การทำความเข้าใจเกี่ยวกับวิธีการทำงานของภาษีศุลกากร และวิธีการลดผลกระทบ สามารถช่วยให้ธุรกิจต่างๆ จัดการค่าใช้จ่าย ดำเนินพิธีการศุลกากร และรักษาความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลกได้
ในหน้านี้มีข้อมูลดังต่อไปนี้
ภาษีศุลกากรคือค่าธรรมเนียมที่เรียกเก็บสำหรับสินค้าที่นำเข้าสู่ประเทศ ซึ่งโดยทั่วไปจะเรียกเก็บเมื่อผลิตภัณฑ์ข้ามพรมแดนของประเทศ และอาจส่งผลกระทบต่อต้นทุนในขั้นสุดท้ายของสินค้าเหล่านั้น
ภาษีศุลกากรถูกนำมาใช้เพื่อกำกับดูแลการค้าขาย ปกป้องอุตสาหกรรมภายในประเทศ และเพื่อสร้างรายได้ อย่างไรก็ตาม ภาษีศุลกากรสามารถเพิ่มต้นทุนและสร้างความซับซ้อนแก่การขนส่งทั่วโลกได้
ภาษีศุลกากรในด้านการค้าคืออะไร
การค้าและภาษีศุลกากรมีความเชื่อมโยงกันอย่างลึกซึ้งเนื่องจากภาษีศุลกากรมีบทบาทสำคัญในการกำกับดูแลการนำเข้าของประเทศต่างๆ ตัวอย่างเช่น รัฐบาลอาจใช้ภาษีศุลกากรเพื่อปกป้องธุรกิจในท้องถิ่น เพิ่มรายได้ และควบคุมกระแสการค้า
แต่ก็มีข้อเสียเช่นกัน ภาษีศุลกากรสามารถเพิ่มต้นทุนสินค้าและสร้างความท้าทายด้านซัพพลายเชนได้ ดังนั้น การทำความเข้าใจวิธีการทำงานของภาษีศุลกากรและผลกระทบที่มีต่อราคาการค้าจึงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับเหล่าผู้นำเข้าและผู้ส่งออก
โดยปกติแล้วจะมีการคิดภาษีศุลกากรในระหว่างการดำเนินพิธีการศุลกากร และสามารถส่งผลต่อประเภทของสินค้าที่ธุรกิจเลือกที่จะนำเข้า และส่งผลต่อค่าใช้จ่ายของสินค้าเหล่านั้นเมื่อส่งถึงผู้บริโภค
โดยทั่วไปแล้วภาษีศุลกากรจะขึ้นอยู่กับประเทศต้นทางของสินค้า ซึ่งเป็นประเทศที่ผลิตสินค้า และไม่จำเป็นต้องนำเข้าจากประเทศต้นทางของสินค้าเสมอไป ซึ่งอาจส่งผลกระทบว่าจะมีการเรียกเก็บอัตราภาษีศุลกากรหรือไม่ และเรียกเก็บในอัตราใด
ความแตกต่างระหว่างภาษีศุลกากร อากรนำเข้า และภาษี
ภาษีศุลกากร อากรนำเข้า และภาษีบางครั้งอาจเหมารวมเข้าด้วยกัน และใช้คำแทนกันและกันเพื่อสื่อถึงค่าธรรมเนียมที่ต้องชำระเมื่อนำเข้าสินค้า อย่างไรก็ตาม คำเหล่านี้มีความหมายต่างกัน
ภาษีศุลกากรเป็นอากรนำเข้าประเภทหนึ่ง แต่อากรไม่ได้เป็นภาษีศุลกากรเสมอไป อากรนำเข้าประเภทอื่นๆ ได้แก่:
-
ภาษีอากรตอบโต้การอุดหนุน: อาจเรียกเก็บเพิ่มเติมเพิ่มเมื่อผลิตภัณฑ์ได้รับเงินอุดหนุนจากรัฐบาลในประเทศของผลิตภัณฑ์
-
ภาษีอากรตอบโต้การทุ่มตลาด: อาจมีการเรียกเก็บเมื่อมีการขายสินค้าในราคาที่ต่ำกว่ามูลค่าตลาดราคากลาง
ภาษี เช่น ภาษีสินค้าและบริการ (GST) หรือภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) นั้นแตกต่างกัน โดยปกติแล้วจะเรียกเก็บเพิ่มเติมหลังดำเนินพิธีการศุลกากรและใช้กับสินค้านำเข้าและสินค้าที่ผลิตในประเทศ
โดยปกติภาษีจะคิดตามราคาส่วนลดและไม่ได้นำไปใช้เพื่อจัดการการค้าระหว่างประเทศเป็นหลัก
อุปสรรคทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษีศุลกากรคืออะไร:
บางประเทศและพื้นที่มีการใช้กฎการค้าที่เรียกว่าอุปสรรคทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษีศุลกากร ซึ่งหมายความว่าไม่มีการเรียกเก็บเงินสำหรับการนำเข้าสินค้าที่ข้ามพรมแดน แต่อุปสรรคทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษีศุลกากรก็คือข้อจำกัดที่พยายามควบคุมการนำเข้าด้วยวิธีการอื่น เช่น การจำกัดปริมาณ การกำหนดให้ต้องมีใบอนุญาตพิเศษ หรือการกำหนดมาตรฐานความปลอดภัยหรือการติดฉลากที่เข้มงวด
ภาษีศุลกากรนำเข้ามีหลายประเภท ได้แก่:
-
ภาษีตามมูลค่า
ภาษีประเภทนี้จะคำนวณเป็นเปอร์เซ็นต์ของมูลค่าที่สำแดงของผลิตภัณฑ์ และมักใช้กับสินค้าที่มีมูลค่าสูง เช่น อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ยานพาหนะ และเฟอร์นิเจอร์ ตัวอย่างของภาษีตามมูลค่าได้แก่ "ภาษีตอบโต้" ที่สหรัฐอเมริกาเริ่มใช้ในปี 2568
-
ภาษีศุลกากรตามสภาพ
เป็นค่าธรรมเนียมคงที่ที่เรียกเก็บต่อจำนวนรายการหรือปริมาณ มักนำไปใช้กับสินค้าต่างๆ เช่น อาหาร สิ่งทอ และวัตถุดิบ
-
ภาษีศุลกากรแบบผสม
จะเป็นการรวมกันระหว่างภาษีตามมูลค่าและภาษีศุลกากรประเภทเฉพาะ และเรียกเก็บเป็นเปอร์เซ็นต์จากมูลค่าสินค้าบวกด้วยจำนวนเงินคงที่ต่อจำนวนหน่วย มักใช้กับสินค้าฟุ่มเฟือยหรือสินค้าพิเศษเฉพาะทาง
ประเภทภาษีศุลกากรในทางปฏิบัติ:
ประเภทภาษีศุลกากร | ตัวอย่างการเรียกเก็บ | ผลิตภัณฑ์ตัวอย่าง | ตัวอย่างค่าใช้จ่าย |
---|---|---|---|
ภาษีตามมูลค่า | 10% ของมูลค่าสินค้า | ทีวีที่มีมูลค่า 500 ดอลลาร์ | ค่าธรรมเนียม 50 ดอลลาร์ |
ตามสภาพ | 3 ดอลลาร์ต่อหน่วย | เสื้อเชิ้ต 100 ตัว | ค่าธรรมเนียม 300 ดอลลาร์ |
ผสม | 5% ของมูลค่ารายการ + 2 ดอลลาร์ต่อหน่วย | กระเป๋าถือ 50 ใบ มูลค่าใบละ 100 ดอลลาร์ | ค่าธรรมเนียม 250 ดอลลาร์ |
เพื่อให้เข้าใจวัตถุประสงค์ของภาษีศุลกากรได้ชัดเจนยิ่งขึ้น การทำความเข้าใจเกี่ยวกับข้อตกลงทั่วไปเกี่ยวกับการค้าและภาษีศุลกากร (GATT) จะช่วยให้เห็นภาพได้ว่าข้อตกลงนี้ยังคงมีอิทธิพลต่อความสัมพันธ์ทางการค้าอยู่มาจนถึงปัจจุบัน โดยส่งเสริมการค้าที่เท่าเทียมและไม่เลือกปฏิบัติ
GATT ได้รับการลงนามในปี 1947 และเป็นกรอบทางกฎหมายขององค์การการค้าโลก (WTO) โดยเป้าหมายคือเพื่อลดอุปสรรคทางการค้าระหว่างประเทศสมาชิกต่างๆ และส่งเสริมการค้าเสรีมากขึ้น
เพื่อให้บรรลุเป้าหมายนี้ GATT จึงกำหนดให้ประเทศสมาชิกต้องปฏิบัติต่อสินค้าที่นำเข้าจากทุกๆ ประเทศสมาชิกอย่างเท่าเทียมกัน นอกจากนี้ยังได้กีดกันไม่ให้ประเทศสมาชิกกำหนดอัตราภาษีที่สูงเกินควร หรือใช้นโยบายการค้าที่เอื้อประโยชน์ต่ออุตสาหกรรมภายในประเทศอย่างไม่เป็นธรรม
การทำเช่นนี้จะช่วยสร้างสภาพแวดล้อมที่มั่นคงและคาดการณ์ได้มากขึ้นสำหรับการค้าระหว่างประเทศ ซึ่งช่วยสร้างความมั่นใจให้แก่ภาคธุรกิจในการดำเนินกิจการข้ามพรมแดนมากยิ่งขึ้น
โดยทั่วไปแล้ว ผู้นำเข้าระเบียนข้อมูลจะเป็นผู้ชำระภาษีศุลกากร
อย่างไรก็ตาม ในสัญญาอีคอมเมิร์ซหรือโลจิสติกส์ระหว่างประเทศ ผู้ขาย ตัวแทนออกของ หรือผู้ส่งสินค้าอาจทำหน้าที่เป็นผู้นำเข้าระเบียนข้อมูลได้เช่นกัน
DDP (จัดส่งถึงโดยชำระอากรให้) เทียบกับ DAP (จัดส่งถึงสถานที่)
DDP: จัดส่งถึงโดยชำระอากรให้ (DDP) เป็นข้อตกลงการค้าระหว่างประเทศซึ่งอ้างถึงข้อตกลงในการส่งมอบที่ผู้ขายจะต้องรับความเสี่ยงในการขนส่งทั้งหมดจนกว่าผู้ซื้อจะได้รับสินค้า
ข้อตกลงดังกล่าวบังคับให้ผู้ขายต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายต่างๆ เช่น ภาษีในขั้นตอนพิธีการศุลกากรขาส่งออกและขานำเข้า ค่าประกันภัย และค่าธรรมเนียมการขนส่ง เอกสารที่เกี่ยวข้องทั้งหมดจะอยู่ภายใต้การดูแลของผู้ขายจนกว่าสินค้าจะจัดส่งไปยังประเทศปลายทางได้สำเร็จ
DAP: การจัดส่งถึงสถานที่ (DAP) เป็นกฎของข้อตกลงการค้าระหว่างประเทศที่ผู้ขายมีหน้าที่รับผิดชอบในการส่งมอบสินค้าไปยังสถานที่ที่ผู้ซื้อกำหนด
ผู้ขายจะเป็นผู้รับผิดชอบต่อความเสี่ยงและค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับการจัดส่งสินค้าจนกว่าจะไปถึงสถานที่ที่กำหนด
เมื่อสินค้าพร้อมขนถ่ายในสถานที่ที่กำหนดของผู้ซื้อ ผู้ซื้อจะรับผิดชอบค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้อง ความเสี่ยง และขั้นตอนการดำเนินการพิธีศุลกากรขาเข้า
ควรเลือก DAP แทน DDP ในกรณีใด
แม้ว่า DDP อาจดูน่าสนใจสำหรับผู้ซื้อเนื่องจากผู้ขายจะเป็นผู้แบกรับความเสี่ยงทั้งหมดในการส่งมอบสินค้า แต่ผู้ขายอาจขึ้นราคาเพื่อให้ครอบคลุมต้นทุนเพิ่มเติมเหล่านั้น
ผู้ขายควรใช้ความระมัดระวังเมื่อทำการขายแบบ DDP เนื่องจากบางประเทศกำหนดให้ผู้นำเข้าต้องมีสถานประกอบการในท้องถิ่น หากผู้ขายคาดการณ์ว่าอาจพบอุปสรรคในด้านการอนุญาตการนำเข้า DAP อาจเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า
ภาษีศุลกากรส่งผลกระทบต่อผู้นำเข้า ผู้ส่งออก และผู้บริโภคอย่างไร
เพื่อให้เข้าใจได้ชัดเจนขึ้นว่าใครเป็นผู้รับภาระภาษี และภาษีส่งผลต่อราคาสินค้าอย่างไร เราต้องเข้าใจว่าต้นทุนเคลื่อนผ่านห่วงโซ่อุปทานอย่างไร
แม้ว่าโดยทั่วไปแล้วผู้นำเข้าจะเป็นผู้ชำระภาษี แต่ผู้นำเข้าก็อาจขึ้นราคาเพื่อให้ครอบคลุมต้นทุน ซึ่งอาจส่งผลกระทบโดยตรงต่อทั้งผู้ค้าส่งและผู้บริโภคปลายทางได้ ธุรกิจขนาดเล็กที่ต้องพึ่งพาสินค้านำเข้าจะได้รับผลกระทบอย่างมากจากการเปลี่ยนแปลงนี้ ตัวอย่างเช่น พวกเขาอาจถูกบังคับให้ขึ้นราคา ลดอัตรากำไร หรือเปลี่ยนไปใช้ซัพพลายเออร์รายอื่น
ภาษีศุลกากรอาจส่งผลกระทบต่อผู้ส่งออกได้เช่นกัน ผู้ส่งออกอาจรู้สึกว่าต้องลดต้นทุนสินค้าเพื่อชดเชยค่าภาษีศุลกากร หรือต้องยอมรับความเสี่ยงในการเสียโอกาสทางธุรกิจหากผู้ส่งออกเปลี่ยนไปใช้ซัพพลายเออร์ในเขตปลอดภาษี
ตัวอย่างวิธีการทำงานของภาษีศุลกากรและผลกระทบต่อการค้า
ตัวอย่าง: ผู้ค้าปลีกในออสเตรเลียนำเข้าสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้าจากจีน ภาษีศุลกากร 10% ทำให้ต้นทุนการนำเข้าสูงขึ้น ผู้ค้าปลีกจึงขึ้นราคา ซึ่งทำให้ความต้องการลดลง ผู้ค้าปลีกจึงพิจารณาจัดหาสินค้าจากเวียดนามแทน ซึ่งไม่มีการเก็บภาษีศุลกากร
ตัวอย่าง: ผู้จัดจำหน่ายอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ในเขตบริหารพิเศษฮ่องกงนำเข้าสมาร์ทวอทช์จากจีนแผ่นดินใหญ่แล้วขายให้กับสหรัฐอเมริกา เมื่อสหรัฐอเมริกาขึ้นภาษีศุลกากรสำหรับสินค้าจากจีน บริษัทมุ่งเป้าที่จะขายในตลาดใหม่ๆ เพื่อรักษาอัตรากำไรไว้
ตัวอย่าง: ร้านค้าปลีกแฟชั่นในสิงคโปร์นำเข้ากระเป๋าถือจากอิตาลี เนื่องจากมีข้อตกลงการค้าเสรีแบบทวิภาคี สินค้าจึงไม่ต้องเสียภาษีนำเข้า ซึ่งช่วยให้ผู้ค้าปลีกสามารถรักษาระดับราคาที่สามารถแข่งขันได้พร้อมทั้งสามารถขยายสายผลิตภัณฑ์ฟุ่มเฟือยไปด้วยได้
ตัวอย่าง: ผู้ส่งออกเครื่องจักรในจีนต้องเผชิญกับภาษีอากรตอบโต้การทุ่มตลาดเมื่อจัดส่งอุปกรณ์บางประเภทไปยังสหภาพยุโรป และเพื่อจัดการผลกระทบดังกล่าว บริษัทจึงย้ายการผลิตส่วนประกอบบางส่วนไปยังโรงงานที่เป็นพันธมิตรในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งมีค่าภาษีอากรน้อยกว่า
ต้องการทราบวิธีการคำนวณต้องการทราบและภาษีศุลกากรหรือไม่ ขั้นตอนต่อไปนี้จะเป็นขั้นตอนที่จะช่วยนำทางคุณในการคำนวณภาษีศุลกากร ซึ่งรวมถึงการจัดประเภทผลิตภัณฑ์โดยใช้ พิกัดอัตราศุลกากร (HS) และการตรวจสอบ ข้อตกลงหรือข้อยกเว้นทางการค้าที่เกี่ยวข้อง



ลดความซับซ้อนในการคำนวณภาษีศุลกากรด้วย FedEx
ผลกระทบของภาษีศุลกากรที่มีต่อธุรกิจขนาดเล็กอาจเป็นเรื่องใหญ่ FedEx จึงมีเครื่องมือที่จะช่วยให้ธุรกิจต่างๆ สามารถประเมินค่าธรรมเนียมได้
-
FedEx Global Trade Manager (GTM) เป็นเครื่องมือบนเว็บที่ให้บริการฟรี ซึ่งช่วยให้คุณสามารถประเมินอากรและภาษีจากประเภทผลิตภัณฑ์ ต้นทาง ปลายทาง และมูลค่าที่สำแดงได้
-
สำหรับธุรกิจอีคอมเมิร์ซแล้ว FedEx ยังมี API ที่ช่วยให้แสดงค่าอากรและภาษีโดยประมาณในขั้นตอนเช็คเอาท์ได้
การดำเนินพิธีการศุลกากรเป็นจุดที่สินค้าจะได้รับการตรวจสอบและอนุมัติอย่างเป็นทางการเพื่อที่จะนำเข้าสู่ประเทศ ภาษีศุลกากรและกฎการค้าจะช่วยกำหนดวิธีการจัดการการจัดส่งในระหว่างกระบวนการนี้ และกำหนดว่าสินค้าจะต้องผ่านพิธีการศุลกากรอย่างเป็นทางการหรือไม่เป็นทางการ
หากมูลค่าของการจัดส่งต่ำกว่าเกณฑ์ที่กำหนด พัสดุอาจเข้าเกณฑ์การดำเนินพิธีการศุลกากรอย่างไม่เป็นทางการ ซึ่งโดยทั่วไปแล้วจะมีแบบฟอร์มในจำนวนที่น้อยกว่า ต้นทุนที่ต่ำกว่า และการดำเนินการที่รวดเร็วขึ้น
อย่างไรก็ตาม หากมูลค่าที่สำแดงสูงหรือใช้กฎภาษีศุลกากรตามสภาพ การจัดส่งดังกล่าวอาจต้องผ่านพิธีการศุลกากรอย่างเป็นทางการ ซึ่งโดยทั่วไปจะต้องมีการจัดเตรียมเอกสารมากกว่า ใช้เวลาในการตรวจสอบนานกว่า และมีการตรวจสอบโดยเจ้าหน้าที่ศุลกากรอย่างละเอียดยิ่งขึ้น
สำหรับลูกค้า ประเภทของการดำเนินการพิธีศุลกากรอาจส่งผลต่อเวลาในการจัดส่ง ต้นทุนรวมในการนำเข้า และความยุ่งยากในการเคลื่อนย้ายสินค้าข้ามพรมแดน
แนวปฏิบัติที่ดีที่สุดในการจัดส่งเพื่ออำนวยความสะดวกในการดำเนินพิธีการศุลกากร:
- ระบุคำอธิบายผลิตภัณฑ์ที่ชัดเจน รวมถึงบอกว่าผลิตภัณฑ์ผลิตจากอะไร ใช้งานเพื่ออะไร และประเทศหรือพื้นที่ที่ผลิตผลิตภัณฑ์
- ระบุรหัส HS 10 หลักในใบตราส่งสินค้าทางอากาศและใบกำกับสินค้าพาณิชย์
- โปรดระบุรหัสประจำตัวผู้ผลิต (MID) ในใบตราส่งสินค้าทางอากาศและใบกำกับสินค้าพาณิชย์สำหรับการจัดส่งเชิงพาณิชย์ของผลิตภัณฑ์สิ่งทอและเครื่องแต่งกายใดๆ โดยไม่คำนึงถึงมูลค่าศุลกากร (ไม่จำเป็นต้องระบุสำหรับการจัดส่งสิ่งทอเพื่อใช้ส่วนตัว)
- ต้องระบุหมายเลขประจำตัวนายจ้าง (EIN) หรือหมายเลขประกันสังคมสำหรับผลิตภัณฑ์ที่ใช้กระบวนการนำเข้าแบบเป็นทางการในการผ่านการดำเนินการพิธีศุลกากรเข้าสู่สหรัฐอเมริกา
- เมื่อจัดส่งผลิตภัณฑ์ที่ประกอบด้วยเหล็กกล้าหรืออะลูมิเนียมไปยังสหรัฐอเมริกา โปรดระบุรายละเอียดเพิ่มเติม เช่น ประเทศที่ทำการหลอม/ถลุง และเปอร์เซ็นต์ของปริมาณเหล็กกล้า/อะลูมิเนียม
ความท้าทายในการดำเนินการพิธีศุลกากรที่พบบ่อย:
ความท้าทาย | คำอธิบาย |
---|---|
รหัส HS ขาดหาย | หากไม่มีรหัส HS ศุลกากรก็อาจไม่สามารถประเมินอัตราอากรหรืออัตราภาษีศุลกากรที่ถูกต้องได้ |
คำอธิบายผลิตภัณฑ์มีความกำกวม | คำอธิบายที่กว้างเกินไปอาจทำให้เกิดความสับสนหรือถูกปฏิเสธในพิธีศุลกากรได้ |
เอกสารไม่ครบถ้วน | ใบแจ้งหนี้, ID หรือฉลากการจัดส่งที่ขาดหายไปอาจทำให้การดำเนินพิธีการศุลกากรล่าช้าได้ |
มูลค่าสำแดงไม่ถูกต้อง | การระบุค่าที่ผิดพลาดอาจส่งผลให้มีการชำระเงินในจำนวนที่น้อยไปหรือได้รับโทษปรับ |
หมายเลขประจำตัวผู้เสียภาษีไม่ได้ลงทะเบียนหรือขาดหาย | บางประเทศอาจกำหนดให้ต้องใช้หมายเลขประจำตัวผู้เสียภาษีหรือ ID ผู้นำเข้า |
เคล็ดลับแบบมืออาชีพ:
ศูนย์ภาษีของ FedEx ช่วยให้ธุรกิจขนาดเล็กสามารถดำเนินการด้านภาษีศุลกากรของสหรัฐอเมริกาและการดำเนินพิธีการศุลกากรได้อย่างราบรื่น พร้อมมีเคล็ดลับในการระบุรหัส HS ที่ถูกต้อง รวมถึงการประเมินค่าอากรและภาษี
แล้วธุรกิจต่างๆ จะลดต้นทุนภาษีศุลกากรได้อย่างไร เริ่มต้นด้วยการจัดหาอย่างชาญฉลาด นั่นหมายถึงการเลือกแหล่งและวิธีการจัดซื้อสินค้าอย่างรอบคอบ เพื่อลดความเสี่ยงจากอัตราภาษีศุลกากรที่สูง
ตัวอย่างเช่น ท่านอาจพิจารณาดังนี้:
-
เลือกซัพพลายเออร์ในประเทศหรือเขตปกครองที่มีข้อตกลงทางการค้าเสรีกับปลายทางของคุณ
-
ตรวจสอบว่าคุณใช้รหัส HS ที่ถูกต้องหรือไม่ เพื่อให้มั่นใจว่าคุณจะไม่จ่ายอากรเกินจำนวน หรือพบปัญหาความล่าช้า หรือได้รับโทษปรับในระหว่างการดำเนินพิธีการศุลกากร
-
ยืนยันว่ามูลค่าที่สำแดงตรงกับมูลค่าการซื้อขาย ซึ่งจะช่วยให้คุณสามารถปฏิบัติตามข้อกำหนดได้และควบคุมต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ซัพพลายเชนที่ได้รับการบริหารจัดการเป็นอย่างดีไม่เพียงช่วยลดต้นทุนการจัดส่งและเพิ่มความรวดเร็วในการจัดส่งเท่านั้น แต่ยังช่วยลดผลกระทบที่ธุรกิจขนาดเล็กจะได้รับจากภาษีศุลกากรได้อีกด้วย
ธุรกิจขนาดเล็กควรทำความคุ้นเคยกับโซนและอัตราการจัดส่ง วิธีคำนวณค่าใช้จ่ายในการจัดส่ง และมองหาโอกาสในการประหยัดค่าจัดส่งเนื่องจากจะช่วยบรรเทาผลกระทบจากภาษีศุลกากรได้
ต่อไปนี้คือ 3 กลยุทธ์ที่ธุรกิจสามารถนำไปใช้ได้เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นและจัดการกับความท้าทายในการค้าระหว่างประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
1. ใช้ศูนย์กระจายสินค้าระดับภูมิภาค
การตั้งศูนย์กระจายสินค้าให้ใกล้กับตลาดหลักของคุณจะช่วยให้คุณได้หลีกเลี่ยงการจัดส่งข้ามพรมแดนในขั้นตอนสุดท้ายของการจัดส่งถึงปลายทางโดยตรง นอกจากนี้ การเติมสต๊อกสินค้าคงคลังแบบเหมารวมยังช่วยลดต้นทุนได้ด้วย เพราะคุณจะสามารถชำระภาษีศุลกากรของแต่ละรายการตามราคาขายส่งไม่ใช่ราคาขายปลีกในแต่ละรอบการจัดส่ง
2. พิจารณารวมหรือแยกการจัดส่ง
ในบางกรณี การรวมคำสั่งซื้อขนาดเล็กเข้าด้วยกันให้เป็นพัสดุที่มีขนาดใหญ่ขึ้นสามารถช่วยลดค่าใช้จ่ายในการจัดส่งและการจัดการได้ ตัวอย่างเช่น พัสดุที่รวมเข้าด้วยกันจะผ่านพิธีการศุลกากรดั่งเป็นบรรจุภัณฑ์ชิ้นเดียว ซึ่งประหยัดค่าธรรมเนียมนายหน้าได้ อย่างไรก็ตาม หากมีรายการพัสดุที่จัดส่งมาจากประเทศหรือพื้นที่มากกว่าหนึ่งแห่ง คุณควรแยกพัสดุแยกกัน มิฉะนั้น อาจมีการเรียกเก็บภาษีศุลกากรในอัตราที่สูงสุดกับสินค้าทุกชิ้น
3. เพิ่มความหลากหลายในการจัดหาเพื่อการพึ่งพาภูมิภาคที่มีอัตราภาษีศุลกากรสูงมากเกินไป
การพึ่งพาแหล่งจัดหาเพียงแหล่งเดียว โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศที่มีอัตราภาษีศุลกากรสูง อาจเพิ่มความเสี่ยงได้ หลายองค์กรจึงกำลัง ปรับเปลี่ยนซัพพลายเชนของตนเอง และกระจายฐานซัพพลายเออร์เพื่อกระจายความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับอัตราภาษีศุลกากร
เคล็ดลับในการรับมือกับภาษีศุลกากรที่เปลี่ยนแปลงตลอด
-
สร้างกลยุทธ์การตอบสนองต่อภาษีศุลกากร
-
ขยายไปสู่ตลาดใหม่ๆ โดยใช้ประโยชน์จากข้อตกลงการค้าระดับภูมิภาค
-
การเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินพิธีการศุลกากร
-
ใช้เครื่องมือการค้าทางดิจิทัลเพื่อช่วยปรับปรุงการดำเนินงาน และสนับสนุนกระบวนการต่างๆ เช่น การประเมินอากรและภาษี
-
ร่วมมือกับผู้เชี่ยวชาญด้านโลจิสติกส์ระดับโลกเพื่อขอความช่วยเหลือ
ภาษีศุลกากรในทางเศรษฐศาสตร์คืออะไร
ภาษีศุลกากรเป็นภาษีอากรประเภทหนึ่งที่เรียกเก็บจากการนำเข้า ภาษีอากรอาจรวมถึงค่าธรรมเนียมต่างๆ เช่น ภาษีอากรตอบโต้การทุ่มตลาดหรือภาษีอากรตอบโต้การอุดหนุน
ใครเป็นผู้รับผิดชอบในการชำระภาษีศุลกากร
โดยทั่วไปแล้ว ผู้นำเข้าระเบียนข้อมูลจะมีหน้าที่รับผิดชอบในการชำระภาษี แต่ต้นทุนดังกล่าวอาจถูกส่งต่อให้กับผู้ซื้อหรือผู้ขายเป็นผู้รับภาระเอง
ภาษีศุลกากรจะคำนวณอย่างไร
การคำนวณภาษีศุลกากรจะขึ้นอยู่กับการจำแนกประเภทผลิตภัณฑ์ (รหัส HS) มูลค่าที่สำแดง ต้นทาง และกฎการค้าที่เกี่ยวข้อง
ภาษีส่งผลต่อราคาซื้อขายอย่างไร
ภาษีศุลกากรสามารถเพิ่มราคาการค้าได้โดยการเพิ่มต้นทุนสินค้าถึงมือผู้ซื้อ ซึ่งอาจส่งผลต่อการตัดสินใจด้านการจัดหา เนื่องจากธุรกิจต่างๆ อาจมองหาซัพพลายเออร์ในประเทศที่มีอัตราภาษีศุลกากรที่ต่ำกว่าเพื่อลดต้นทุน นอกจากนี้ภาษีศุลกากรอาจส่งผลกระทบต่อความต้องการซื้อได้ด้วย โดยการทำให้ราคาขายปลีกสูงขึ้น ซึ่งอาจทำให้ผู้บริโภคลดการใช้จ่ายหรือเปลี่ยนไปเลือกสินค้าที่ผลิตภายในประเทศแทน
แล้วธุรกิจต่างๆ จะสามารถลดต้นทุนทางภาษีศุลกากรได้อย่างไร
ใช้รหัสรหัส HS ที่ถูกต้อง, สำรวจข้อยกเว้น FTA, รวมการจัดส่งเข้าด้วยกัน และพึ่งพาพันธมิตรผู้เชี่ยวชาญอย่าง FedEx
ข้อตกลงทั่วไปเกี่ยวกับการค้าและภาษีศุลกากร (GATT) คืออะไร
ข้อตกลงทั่วไปเกี่ยวกับการค้าและภาษีศุลกากร (GATT) เป็นสนธิสัญญาระดับโลกที่จะช่วยลดค่าภาษีศุลกากรและสนับสนุนหลักปฏิบัติทางการค้าที่เป็นธรรม
ภาษีศุลกากรประเภทต่างๆ มีความแตกต่างกันหรือไม่
ภาษีศุลกากรมีอยู่สามประเภท ซึ่งได้แก่ภาษีตามมูลค่า ตามสภาพ และภาษีศุลกากรแบบผสม
ภาษีศุลกากรมีผลต่อค่าจัดส่งอย่างไร
ภาษีศุลกากรอาจไปเพิ่มต้นทุนสินค้าถึงมือผู้ซื้อ หากคำนวณภาษีศุลกากรไม่ถูกต้องหรือชำระไม่ทันเวลา อาจทำให้เกิดความล่าช้าจากการผ่านพิธีศุลกากร ซึ่งจะทำให้ค่าขนส่งและค่าจัดเก็บสินค้าเพิ่มขึ้น
ภาษีศุลกากรเป็นสิ่งที่จะกำหนดการจัดหา การตั้งราคา และโลจิสติกส์ระดับโลก หากทราบว่าภาษีศุลกากรคืออะไร มีวิธีการคำนวณภาษีศุลกากรอย่างไร และใครเป็นผู้ชำระภาษีศุลกากร ก็จะช่วยให้ธุรกิจต่างๆ สามารถจัดการค่าใช้จ่ายและการปฏิบัติตามข้อกำหนดได้
เนื่องจากกฎการค้ามีการเปลี่ยนแปลงบ่อยครั้ง จึงสำคัญมากที่คุณต้องทราบข้อมูลล่าสุดเกี่ยวกับภาษีศุลกากร รวมถึงวิธีลดความเสี่ยงและคงกำไรไว้
สำหรับธุรกิจที่จัดส่งไปยังสหรัฐอเมริกาและกำลังดำเนินกิจการในภูมิทัศน์ภาษีศุลกากรนำเข้าของสหรัฐอเมริกาที่มีการเปลี่ยนแปลงตลอดนั้น FedEx ก็ได้สร้างศูนย์ข้อมูลขึ้นมาเพื่อให้คุณสามารถทราบข้อมูลและปรับตัวได้